นายปริเยศ อังกูรกิตติ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์พรรคไทยสร้างไทย ออกโรงติงภาครัฐ ไม่ควรเน้นการจัดแต่ event ด้วยงบประมาณปี 67 และคณะกรรมการ softpower ชุดใหญ่ ควรให้บทบาทกับเอกชนที่เข้ามาร่วมงานมากขึ้นกว่าเดิม เพราะการผลักดันเรื่องนี้ เอกชนต้องการมากกว่าการเป็นเพียงที่ปรึกษาให้รัฐเอาไปทำต่อ เอกชนจึงควรมีกำลังมากขึ้นในการร่วมตัดสินใจการวางรากฐานทางกฏหมายและแนวทางการพัฒนา อาจเป็นในรูปแบบเหมือน กรรมาธิการวิสามัญของสภาก็ได้ ที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ใช่เพียงแนะนำเท่านั้น
ทั้งนี้นายปริเยศ ยังชี้ต่อว่า ปัญหาที่อนุกรรมการชุดต่างๆ ที่ผลักดัน softpower อาจจะเจอในวันข้างหน้าคือ เสนอแนวคิดไป แต่ถึงเวลา กรรมการชุดใหญ่ที่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาโครงการแบบใดเสนอรัฐบาลไปดำเนินการ ก็ไปทำตามใจตนเอง เพราะขาดความเข้าใจ เช่นการออกแบบงาน event ต่างๆ แบบไร้คุณภาพ หรือการผลักดันการอบรมต่างๆที่ไม่จำเป็น เนื่องจากต้องยอมรับว่าปัจจุบันยังไม่มี พรบ.มาสนับสนุนการตั้งหน่วยงานที่ทำงานด้าน softpower แบบเป็นรูปธรรม หากแต่ปีงบประมาณเริ่มต้นไปแล้ว ดังนั้นปัญหานี้ย่อมทำให้เอกชนที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะอนุกรรมการ เขาย่อมไม่สบายใจ เพราะหากมีกิจกรรมใดๆ หรือโครงการใดๆ ที่ออกไปแล้วประชาชนตั้งคำถาม ย่อมส่งผลถึงเครดิตที่มีต่อพวกเขาด้วย ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องพึงระวัง เพราะผลสุดท้าย นโยบาย softpower ที่เป็นเรือธงอีกอันของรัฐบาล จะล้มเหลว และไปแบบกระท่อนกระแท่น อีกเหมือนกับนโยบายก่อนๆ ซึ่งเป็นการเสียโอกาสสำหรับประชาชนมาก
“รัฐต้องเริ่มให้อำนาจกับเอกชนที่เขามาช่วยวางโครงสร้าง ในการปฏิรูปด้านกฏระเบียบต่างๆ รวมถึงตระเตรียมการใช้เงินเพื่อบุคลากรที่จะเข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้ ไม่ใช่เร่งใช้งบไปกับ event ด้อยคุณภาพ หรือการจัดอบรมแบบหว่านำปทั่ว ซึ่งคณะทำงานที่เขามีคุณภาพเขาอาจจะเลือกเดินออกไป แล้วทำให้รัฐบาลใช้งบประมาณไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ เพียงเพราะมีคำว่า softpower ห้อยท้าย” นายปริเยศ กล่าว