รองโฆษกไทยสร้างไทย จี้ รัฐวางแผนการท่องเที่ยวปี 2567 ให้ชัดเจนและตรงเป้าหมาย หลังเปิดฟรีวีซ่า แต่กรุ๊ปทัวร์จีน ยังหายกว่า 80% แนะวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ เปลี่ยนจากเงินดิจิทัล เป็นเครดิต 4,000 บาทใช้จับจ่ายและท่องเที่ยวในประเทศ เชื่อ เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 8-10 รอบ
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช รองโฆษก และหัวหน้าคณะทำงานด้านการท่องเที่ยว พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาลว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่พลาดจากเป้าหมายโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เป็นแนวโน้มที่ไม่ดี กับการท่องเที่ยวของประเทศไทยในขณะนี้ รวมไปถึงปีหน้าด้วย ซึ่งรัฐบาลควรเร่งวางแผนงาน สำหรับปีหน้า โดยรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน องค์กร ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนโดยเร็ว เพราะจะได้รับทราบปัญหาและแนวทางที่ถูกต้อง นำไปทำแผนการตลาดสำหรับปีหน้าได้ตรงเป้าหมาย
นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ หายไป กว่า 70% จาก ปี 2562 ซึ่งมีถึง 11 ล้านคน แต่ ปีนี้ 2566 ซึ่งรวมเปิดฟรีวีซ่า แต่มีแค่ 2.9 ล้านคน โดยเฉพาะ กรุ๊ปทัวร์ หายไปถึง 80% ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย ได้เคยให้ความเห็นไปแล้วว่า ปัญหาที่แท้จริง คือ วิธีการและขั้นตอนการขอวีซ่าที่วุ่นวายและยากลำบากกว่าช่วงก่อนโควิด รวมถึงเรื่องภาพลักษณ์ในด้านความปลอดภัย และ เรื่องของยาเสพติดกัญชา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในมุมมองการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวจีน และจะมีผลกระทบอีกยาวนาน หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้
การเพิ่มและหาตลาดรองที่เหมาะสม อย่างเร่งด่วน ซึ่งทางพรรคไทยสร้างไทย ได้เคยเสนอไปแล้ว เช่นตลาดอินเดีย ควรเปิดฟรีวีซ่าเพิ่มด้วย รวมถึงการเปิดตลาดใหม่ คือ กลุ่ม Digital Normad ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่มีคุณภาพจะเข้ามาเสริมให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
รวมถึงตลาดนักท่องเที่ยวคนไทย ไทยเที่ยวไทย คืออีกหนึ่งกลุ่มที่มีความสำคัญมาก สำหรับการท่องเที่ยวประเทศไทยที่ควรต้องเร่งกลับมา ส่งเสริมให้มากขึ้นหรือเป็นหลักเลยด้วยซ้ำ
แทนที่จะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทซึ่งการหมุนเวียนในระบบจะน้อยและไม่หมุนไปถึงรากหญ้า ก็ควรยกเลิกและหันมาทำ การตลาด โดยแจกเครดิตการท่องเที่ยวให้คนไทย เที่ยวในไทย ใช้จ่ายกับโรงแรม รีสอร์ต โฮสเทล หรือ โฮมสเต หรือ บริษัทนำเที่ยวในภายในประเทศ คนละ 2,000 แทน ซึ่งจะทำให้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ มีเงิน หมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น
รวมถึงแจกเงินให้ประชาชน คนละ 2,000 เพื่อใช้จ่ายกับกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้าน Street Food ไปจนถึง Fine Dinning ซึ่ง จะใช้เงินเพียงแค่ คนละ 4,000 บาท แต่จะสามารถ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 8 ถึง 10 รอบ เพราะทั้ง 2 กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มี ซัพพลายเชนในระบบที่ใหญ่ที่สุดเช่นจะมีผลไปถึงภาคเกษตร หรือ ภาคการขนส่ง และอีกหลายภาคส่วนด้วยกัน แถมการใช้จ่ายจะทำให้เงินหมุนเวียนกลับเข้ามาในระบบ 8-10 รอบ และที่สำคัญ ประชาชนไม่ต้องเป็นหนี้ผูกพันไปถึงลูกหลานเหมือนแจกเงินดิจิทัล10,000 บาทซึ่งต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาท
