แถลงการณ์พรรคไทยสร้างไทย เรื่อง การเสนอแจกเครดิตให้ประชาชน แทนการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้สาธารณะ ให้ทุนตั้งตัวแก่ประชาชน และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบไปพร้อมกัน

ข่าวสาร

ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และนักกฎหมายการคลัง แต่รัฐบาลก็ยังยืนกรานที่จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป โดยสรุป ส่วนใหญ่มองว่าโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ได้ไม่คุ้มเสีย ไม่มีความชัดเจนเพียงพอซึ่งแหล่งที่มาของเงิน สภาพการณ์ปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวน 560,000 ล้านบาท มาแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะการบริโภค แต่ควรนำไปทำนโยบายที่ยั่งยืนและเกิดผลระยะยาวมากกว่า นักวิชาการบางท่านตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของโครงการ นักกฎหมายการคลังบางท่านเห็นว่าขัดต่อพระราชบัญญัติเงินตรา เพราะหากสถานะของเงินดิจิทัลนี้ไม่สิ้นสุดไปภายหลังจบโครงการ ก็จะทำให้เกิดความสับสนว่าเป็นการสร้างเงินตราสกุลใหม่ขึ้นมาหรือไม่ ดังนั้น หากต้องการให้เงินดิจิทัลนี้เป็นสิทธิการใช้เงินแบบชั่วคราวซึ่งในที่สุดต้องสิ้นสภาพไป ก็ควรแถลงให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะเกิดความสับสนและนำไปสู่ปัญหาอีกมากที่จะตามมา

ด้วยเหตุนี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จึงเรียกร้องให้ปรับลดขนาดโครงการลง ทั้งไม่เห็นด้วยกับการแจกแบบเหวี่ยงแหโดยไม่สนใจพื้นฐานทางเศรษฐกิจของผู้รับเงิน นักวิชาการจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ และจะทำให้ประเทศ “มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกมาก” รวมไปถึงทำให้เสียโอกาสทางการลงทุน นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการคาดการณ์ของรัฐบาลที่ว่าโครงการนี้จะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผลในเชิงบวก (MULTIPLIER EFFECTS) หลายเท่าตัว

พรรคไทยสร้างไทย ยืนยันมาโดยตลอดว่าการช่วยเหลือและดูแลคนตัวเล็ก และ SMEs เป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องรีบทำ เพราะปัจจุบันนี้มีผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ประมาณ 8 ล้านคน และมีผู้ไม่มีหลักฐานแสดงรายได้ในรูปแบบที่ธนาคารและสถาบันการเงินยอมรับอีกประมาณ 28 ล้านคน ขณะที่ประเทศมี หนี้สินร่วม 10.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.3% ของ GDP ต้องจ่ายดอกเบี้ยกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท ถ้าจะใช้เงินไม่ว่าด้วยการพิมพ์เพิ่ม หรือกู้เพื่อแจกแบบเหวี่ยงแห ตามโครงการแจกเงินดิจิทัล จะต้องตอบคำถามให้ชัดเจนแบบวิทยาศาสตร์ว่า คุ้มค่าจริงหรือไม่ และหากผลที่ได้รับออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดจะรับผิดชอบอย่างไร

ระบบเศรษฐกิจของโลกรวมถึงประเทศไทยอยู่ในสภาวะเหมือนกันในประการสำคัญ คือ มีเงิน ล้นระบบ ไม่ว่าในรูปของเงินกระดาษ (FIAT) ที่เคยผูกกับทองคำ หรือเงินกระดาษที่รัฐบาลหลายประเทศพิมพ์ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ โดยไม่ผูกกับทองคำ (QUANTITATIVE EASING) เช่น กรณีซับไพรม์ (SUBPRIME) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2551 หรือเพื่อการแจกเงินให้ประชาชนใช้ ในช่วงโควิด-19 (พ.ศ. 2562-2563) ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็มีการสร้างเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี (CRYPTOCURRENCY) ขึ้นนับหมื่นสกุล จนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (INFLATION) ไปทั่วโลก และนำมาซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศแม้แต่ประเทศไทย การประชุมร่วมขององค์การ การเงินระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL MONETARY FUND) และธนาคารโลก (WORLD BANK) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ยังย้ำเตือนเรื่องภาวะเงินเฟ้อที่โลกยังต้องเผชิญต่อไป

ปัญหาก็คือเงินที่ล้นระบบนั้นตกอยู่ในมือของคนประมาณ 20% แต่คนส่วนใหญ่ที่เป็นคนตัวเล็กล้วนไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอยและลงทุนทำมาหากินตามฐานานุรูปของตน คนตัวเล็กที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ มีจำนวนมากกว่า 36 ล้านคน คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสเข้าสู่ระบบธนาคารที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้เลย พวกเขาต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงมากคือ 10 – 20% ต่อเดือน หรือ 120 – 240% ต่อปี จึงไม่มีทางจะมีชีวิตที่ดีและมั่นคงได้ ต้องแก้เครียดและหากินด้วยการพึ่งการพนันในรูปแบบต่าง ๆ ยาเสพติด หรือการค้ามนุษย์ โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐทำตัวเป็นโจรหรือร่วมมือกับโจร กดขี่ หลอกลวง และทำร้ายพวกเขา เจ้าสัว ทุนขนาดใหญ่ และทุนพรรคพวกผูกขาดทุกอย่าง ทั้งเงิน ความรู้ เทคโนโลยี ฯลฯ ทุนเหล่านี้สามารถเข้าถึงระบบธนาคารด้วยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก คือ ประมาณ 3 – 8% ต่อปี (ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% ต่อปี) และยังสามารถออกหุ้นกู้ได้ ซึ่งขณะนี้ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 3 – 6% ต่อปี

ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทย จึงเห็นว่า รัฐควรแก้ปัญหาที่กล่าวมาด้วยการออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากคนที่มีเงินในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.5 – 4% ต่อปี เพื่อมาปล่อยเครดิตให้กับคนตัวเล็กประมาณ 20 ล้านคน (โดยใช้ฐานบัตรคนจนและการสมัครขอรับเครดิตเพิ่มเติม) ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี หรือไม่เกิน 1% ต่อเดือน วิธีการนี้คือ การแจกเครดิต ให้กับคนประมาณ 20 ล้านคน คนละ 10,000 บาท เพื่อนำร่อง ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท ลดขนาดลงไป 360,000 ล้านบาท โดยมี หลักการเบื้องต้น คือ

1. เป็นการแจกเครดิต ไม่ใช่แจกเงินแบบให้เปล่า โดยประชาชนจะนำไปใช้อย่างไรก็ได้ แต่ต้อง ใช้คืนทั้งต้นและดอกเบี้ย ตามตารางเวลาที่กำหนด วิธีการนี้ไม่ต้องวุ่นวายกับร้านค้าที่จะรับเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอยู่ในระบบ VAT ดังนั้น สินค้าและบริการระดับบ้าน ๆ เช่น ตลาดรถกระบะเปิดท้าย ตลาดนัดในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดเงินหมุนเวียนในระดับรากหญ้าจะไม่ได้ผล และในที่สุดหากขยายขอบเขต 4 กม. ออกไป เช่น เป็นระดับอำเภอ จังหวัด เงินที่กระตุ้นเศรษฐกิจจะตกอยู่กับกลุ่มทุนแทน ไม่กลับมาหมุนเวียนในหมู่ประชาชนคนตัวเล็กอีก

2. คนที่รักษาเครดิตไว้ได้อย่างดี ตั้งแต่ 6 เดือน ขึ้นไป มีสิทธิขอเครดิตเพิ่มเติมจากรัฐได้ แต่ ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งรัฐจะพิจารณาประวัติ ความมุ่งหมายในการขอเครดิตเพิ่ม และความสามารถในการใช้คืน

3. รัฐไม่ต้องสร้างกลไกอะไรใหม่ สามารถใช้ระบบเป๋าตังที่มีอยู่โดยปรับปรุงบางส่วน ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี BLOCK CHAIN ซึ่งปัจจุบันกำลังกลายเป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่า และการออก TOKEN หรือ COIN สมัยใหม่ที่เป็น STABLE COIN ก็จะเอาไปผูกกับทองคำแทนเงินดอลลาร์ รัฐเพียงทำตัวเป็นคนกลางกู้เงินคนรวยในอัตราดอกเบี้ยต่ำมาปล่อยเป็นเครดิตให้ประชาชน ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้นอกระบบ 10 – 20 เท่า โดยใช้ธนาคารของรัฐเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการดูแลการรักษาเครดิตของประชาชน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายประมาณไม่เกิน 3% แต่รัฐก็ยังมีส่วนต่างอย่างน้อยอีก 5% เพื่อกันไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด สำหรับความเสียหายที่อาจเกิดจากการไม่รักษาเครดิตของประชาชนส่วนหนึ่ง

4. เมื่อพิจารณาจากระบบกองทุนหมู่บ้าน และหลายรูปแบบเครดิตที่เอกชนทำ หนี้เสียไม่ได้มีมากมายจนน่ากังวลแต่อย่างใด เพราะเครดิตที่ให้ไม่ได้มีจำนวนมาก ประชาชนจะเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นและเพื่อการทำมาหากินแบบหมุนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้เขาเข้าสู่ระบบเสมือนธนาคารโดยไม่ต้องมีหลักประกันอะไร ทั้งจะเกิด MULTIPLIER EFFECTS ไปตลอด ซึ่งแตกต่างจากการแจกเงินมหาศาลเพียง ครั้งเดียวที่เงินจะไหลไปสู่เจ้าสัว ทุนใหญ่ และทุนพรรคพวกเหมือนเดิม ประชาชนที่เป็นญาติพี่น้อง เพื่อนมิตร จะช่วยกันรักษาเครดิตที่ได้รับ เพราะเป็นหนทางเดียวที่เขาจะมีเงินฉุกเฉินและเงินไปทำมาหากิน หากใครเสียเครดิตและต้องการมีเครดิตใหม่ก็อาจทำได้ โดยชำระเงินต้น ดอกเบี้ย บวกเบี้ยปรับอีกไม่มากเพื่อเริ่มใหม่ ถ้าขนาดของเงินหมุนเวียนมีประมาณ 560,000 ล้านบาท ในอนาคต ลองนึกภาพว่าจะสร้างการบริโภคภายใน (LOCAL CONSUMPTION) ขนาดไหน

5. รัฐเป็นผู้รับผิดชอบในหนี้เสีย (NON PERFORMING LOAN) ที่อาจเกิดขึ้น แต่รัฐมีส่วนต่างของดอกเบี้ยพันธบัตรและดอกเบี้ยที่ให้เครดิตไม่เกิน 12% ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบมากนัก ไม่เหมือนกรณีแจกเงินแบบให้เปล่า ซึ่งจะสูญเสียไปทั้งหมด โดยรัฐสามารถพิจารณาสภาวการณ์แต่ละช่วงว่าจะคิดดอกเบี้ยต่ำกว่า 12% ต่อปีในอัตราเท่าใด เช่น อัตรา MRR ปัจจุบันที่ประมาณ 8 – 9% ต่อปี หากประชาชนที่ได้เครดิต มีความรับผิดชอบและวินัยที่ดี หนี้เสียจะอยู่ในอัตราที่ต่ำ และไม่สร้างภาระทาง การเงินการคลังให้แก่รัฐจนน่าวิตกแต่อย่างใด

ปรัชญาและเป้าหมายของวิธีการนี้ คือ การทำให้ประชาชนคนตัวเล็กเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำโดยเน้นการสร้างความรับผิดชอบและวินัยให้แก่พวกเขา เพื่อให้มีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ไม่ใช่มองเขาแบบคนรอรับการแจกเงิน ถ้าประชาชนราว 36 ล้านคน มีเครดิตดอกเบี้ยต่ำใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาจะเป็นพลังการผลิต และพลังบริโภคที่มหาศาล

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น หากรัฐต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะระดับฐานรากและ SMEs ให้มีพลังพลวัตยิ่งขึ้น ก็ควรทำร่วมกับการพักใช้กฎหมายการขออนุมัติ อนุญาต ซึ่งมีราว ๆ 1,500 กระบวนการ ไว้ชั่วคราว 3 – 5 ปี คงเหลือที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ โดยให้ผู้ประกอบการไปจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแทน ซึ่งจะเป็นการลดการเสียเวลา ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายทั้งในและนอกระบบของประชาชนอย่างมหาศาล

หากเริ่มจากคนประมาณ 20 ล้านคน ทำมาหากินได้สะดวกไม่ถูกรีดไถจากเจ้าหน้าที่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำด้วยระบบ “เครดิตประชาชน” ตามที่กล่าวมาแล้ว ลองพิจารณาและนึกภาพ ดูว่าจะเป็นผลดีต่อประเทศและประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาวขนาดไหน

ด้วยความปรารถนาดี

พรรคไทยสร้างไทย

28 ตุลาคม 2566

ร่วมแบ่งปันนโยบาย:

Facebook
Twitter

ข่าวสารน่าสนใจอื่น ๆ

ข่าวสาร
วันประชาธิปไตยสากล 15 กันยายน 2567
ข่าวสาร
"ดร.ณรงค์ ไทยสร้างไทย" เผยผลสำเร็จการสร้างนวัตกรรมเชิงนโยบาย หลัง...
ข่าวสาร
โฆษกไทยสร้างไทย ไม่เชื่อ นโยบายรัฐบาล "อุ๊งอิ๊ง" พลิกเศรษฐกิจของป...
ข่าวสาร
วันประชาธิปไตยสากล 15 กันยายน 2567
ข่าวสาร
"ดร.ณรงค์ ไทยสร้างไทย" เผยผลสำเร็จการสร้าง...
ข่าวสาร
โฆษกไทยสร้างไทย ไม่เชื่อ นโยบายรัฐบาล "อุ๊...
ข่าวสาร
โฆษกไทยสร้างไทย เชื่อนายกใหม่น่วม เดินการเ...
ติดตามทางโซเชียลมีเดีย