นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมาธิการงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วนพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการพิจารณา งบประมาณปี2567 ในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งในช่วงที่มีการพิจารณาคำร้อง การพิจารณาอุทธรณ์ของกองทัพเรือ ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 67 โดยเฉพาะโครงการจัดซื้อเรือฟริเกต 17,000 ล้านบาทว่า ตนเป็นหนึ่ง ในเสียงข้างน้อย ที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์แต่ในท้ายที่สุด มติที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับการอุทธรณ์ของกองทัพเรือ และแพ้ให้กับเสียงข้างมากจึงทำให้คำร้องถูกตีตกไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม ตนถือว่าได้ทำหน้าที่ในฐานกมธ.งบประมาณที่เห็นความสำคัญของการสร้างกำลังรบให้ใกล้เคียงกับประเทศข้างเคียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติแล้ว แม้ตนจะไม่ได้เห็นด้วยกับกองทัพเรือทั้งหมด แต่เห็นว่าเราควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการต่อเนื่องเพื่อให้กองทัพเรือ ได้มีเรือฟริเกตทดแทนเรือที่ถึงอายุปลดระวาง เฉพาะอย่างยิ่งเราควรส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศที่หลาย ๆ ประเทศก็จ้างอู่ต่อเรือของประเทศไทย แล้วเหตุใดเราจะไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเราเอง
นายชวลิต กล่าวต่อว่าเงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ทั้งเกิดการจ้างแรงงานภายในประเทศ ซึ่งเป็นผลดีทางด้านเศรษฐกิจตามมา ที่สำคัญในระยะยาวเราต้องพึ่งตนเอง จะยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร ซึ่งในสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ไทยไปช่วยเกาหลีรบในสงครามเกาหลี เกาหลีถูกบอมบ์บ้านเมืองแหลกลาญ ผลของสงครามส่งผลให้เกาหลี แยกเป็น 2 ประเทศ เป็น เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ แต่ปัจจุบันไทยต้องไปซื้อเรือรบ ซื้อเครื่องบินฝึกรบจากเกาหลี เราพัฒนาเองสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเองไม่ได้หรือ ปรากฎว่าตนถูกประท้วงเป็นครั้งแรกในชีวิตการทำงานการเมือง ทราบว่าต้องการรวบรัดการลงมติ
ตนทำงานการเมืองมาตั้งแต่ปี 2544 เป็นเวลากว่า 20 ปี เพิ่งถูกประท้วงเป็นครั้งแรกในชีวิตโดยนักการเมืองรุ่นน้องว่าตนเอาประเด็นในวาระที่ 1 มาอภิปรายในวาระที่ 2 ซึ่งตนก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเราต้องยกเหตุผล ยกแม่น้ำทั้ง 5 มาอภิปรายสนับสนุนแนวคิดการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเราให้มีความเข้มแข็ง แม้เป็นเสียงข้างน้อยแต่ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของชาติ และบันทึกไว้ในรายงานการประชุมของ กมธ.ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งของการพิจารณาคำอุทธรณ์ของกองทัพเรือในการพิจารณางบซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือ