นายศุข ศักดิ์ณรงค์เดช กรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ครอบครองรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปอายุเกิน 10 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายศุขระบุว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการ EV 3.0 ที่ให้เงินอุดหนุนสูงสุด 18,000 บาทต่อคัน สำหรับผู้ที่ซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้า แต่โครงการนี้กำลังจะสิ้นสุดลง พรรคไทยสร้างไทยจึงเห็นว่ารัฐบาลควรขยายระยะเวลาการสนับสนุนออกไป และเพิ่มมาตรการให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อใช้ในการซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
“การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตประชาชน หากรัฐบาลให้การสนับสนุนที่เพียงพอ ประชาชนจะได้ใช้รถที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดมลพิษ และช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในระยะยาว” นายศุข กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าแทนรถจักรยานยนต์สันดาปสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มหาศาล โดยเฉลี่ยแล้วรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์น้ำมันปล่อยก๊าซ CO2 ประมาณ 0.5794 กิโลกรัมต่อระยะทาง 10 กิโลเมตร ในขณะที่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ อีกทั้งการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 1 คันตลอด 1 ปี สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 155 ต้น
ในด้านเศรษฐกิจ นายศุขชี้ให้เห็นว่าหากรัฐมีมาตรการช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประหยัด เช่น การอุดหนุนต่อเนื่องและสนับสนุนสินเชื่อพิเศษ ราคารถอาจเริ่มต้นเพียง 28,640 บาท จากราคาปกติ 47,900 บาท และสามารถประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงถึง 16,425 บาทต่อปี ซึ่งหมายความว่า ภายใน 2 ปี ประชาชนสามารถคืนทุนจากการประหยัดพลังงานได้
“พรรคไทยสร้างไทยอยากเห็นนโยบายที่ช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงเทคโนโลยีสะอาด ไม่ใช่แค่เพื่อลดมลพิษ แต่ยังช่วยลดค่าครองชีพอีกด้วย รัฐบาลควรเดินหน้าสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง” นายศุข กล่าวทิ้งท้าย