เทพฤทธิ์ ไทยสร้างไทย ชี้สหรัฐฯ คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย – สัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจและการทูตไทย

ข่าวสาร

นายเทพฤทธิ์ สีน้ำเงิน รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่า รัฐบาลไทยอาจไม่ตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงพอ แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผลกระทบในระยะยาว และอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าและการลงทุนในอนาคต” นายเทพฤทธิ์กล่าว
.
สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของไทยรองจากจีน โดยในปี 2566 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 68,358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 29,371 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 48,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 17.2% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งครอบคลุมสินค้าหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (25.8%) อาหารแปรรูป (12.1%) และชิ้นส่วนยานยนต์ (8.5%) หากความสัมพันธ์ทางการทูตแย่ลง ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางการค้าต่อไทยย่อมมีมากขึ้น หากมาตรการคว่ำบาตรมีผลกระทบเพียง 5% ต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ จะทำให้ไทยเสียรายได้จากการส่งออกทันที 2,443 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นแหล่งรายได้หลัก และตนเชื่อว่ากระทรวงต่างประเทศของไทยไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเจรจาและปรับความเข้าใจกับสหรัฐฯในเวลานี้
.
รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยยังได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของไทยโดยให้ข้อมูลว่าเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ EU มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตขึ้น 5.3% ต่อปี การที่สภายุโรปมีมติรับรองญัตติประณามไทยด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 482 เสียงแสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของไทยกำลังสร้างผลกระทบต่อการเจรจา ความตกลงการค้าเสรีไทย-EU (FTA) ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 ซึ่งหากไทยไม่สามารถเจรจาได้ทัน การส่งออกสินค้าไปยุโรป เช่น อาหารทะเลแปรรูป อุตสาหกรรมแฟชั่น และยานยนต์ อาจลดลง 3-7% ทำให้ภาคธุรกิจสูญเสียรายได้กว่า 3,634 – 6,792 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ซึ่งคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ไทยประมาณ 0.67 – 1.25%
.
การลงมติของสภายุโรปที่ให้การสนับสนุนญัตติประณามไทยอย่างท่วมท้น สะท้อนถึงปัญหาในระดับนโยบายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทยและ แสดงให้เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับผู้นำและตัวแทนรัฐบาลของสมาชิก EU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากรัฐบาลไทยมีการดำเนินนโยบายทางการทูตที่แข็งแกร่งกว่านี้ อาจมีคะแนนงดออกเสียงมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพยุโรป
.
ในสถานการณ์เช่นนี้ บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรและคู่ค้า ความเสียหายทางเศรษฐกิจและการทูตอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจกระทบต่อ GDP ของไทยมากถึง 0.67 – 1.25% ในปี 2568 โดย SME ไทยกว่า 3.19 ล้านราย จะได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะมีการจ้างงานกว่า 70% ของแรงงานภาคธุรกิจหรือ 12.65 ล้านคน หากไทยเผชิญมาตรการกีดกันทางการค้าจากชาติตะวันตก ประมาณ 350,000 – 500,000 ราย อาจต้องปิดกิจการภายใน 2 ปี โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และยุโรปมากถึง 45.8% ของรายได้ทั้งหมด

“นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่มันกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยและเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลต้องทำมากกว่าการแถลงข่าวว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะในเวทีโลก ความถูกต้องตามกฎหมายอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องคำนึงถึงความชอบธรรมและความไว้วางใจจากนานาชาติด้วย” นายเทพฤทธิ์กล่าวสรุป

ไทยสร้างไทย #สร้างการเมืองสุจริต #มาตรการคว่ำบาตร #ผู้ลี้ภัย

ร่วมแบ่งปันนโยบาย:

Facebook
Twitter

ข่าวสารน่าสนใจอื่น ๆ

ข่าวสาร
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ชี้ รัฐบาลส่อ "ถังแตก" เตรียมกู้เงินครั้งใหญ่...
ข่าวสาร
พรรคไทยสร้างไทย ร่วมรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ย้ำเดินหน้าแก้ร...
ข่าวสาร
“ชัชวาล ไทยสร้างไทย” หารือสภาฯ หนุนจัดตั้ง “ศูนย์กู้ภัยแห่งชาติ” ...
ข่าวสาร
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ชี้ รัฐบาลส่อ "ถังแตก"...
ข่าวสาร
พรรคไทยสร้างไทย ร่วมรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษา...
ข่าวสาร
“ชัชวาล ไทยสร้างไทย” หารือสภาฯ หนุนจัดตั้ง...
ข่าวสาร
"พรรคไทยสร้างไทย" เปิดบ้านต้อนรับนักศึกษาม...
ติดตามทางโซเชียลมีเดีย