เดือนธันวาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งความสุขของคนไทย เรามีวันหยุดและงานเลี้ยงต่างๆมากมาย ใครๆก็ชอบเดือนนี้กันทั้งนั้น
ยกเว้นนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่างๆ คงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เพราะแต่ละคนคงไม่มีโอกาสได้รื่นเริงเฮฮาปาร์ตี้เหมือนกับพวกเราที่ใช้ชีวิตกันอยู่ข้างนอก
การเข้าไปรับโทษตามคำพิพากษาในเรือนจำ เป็นกระบวนการลงโทษผู้กระทำความผิดตามหลักการสากล ใครทำผิดก็ต้องรับโทษทัณฑ์ของตัวเองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
แต่กรณีนี้ คงต้องยกเว้นผู้ที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยเฉพาะนักโทษการเมืองทั้งหลายที่ต้องสูญเสียอิสรภาพ หรือ ต้องหลบหนีอยู่ในขณะนี้
หลายคนคงจำกันได้ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา พบว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และมีนโยบายที่จะฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ
อันเป็นการยอมรับว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยยังอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง และมิได้ปกครองด้วยหลักนิติธรรม!
.
“หลักนิติธรรม” คือเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แต่หลักการนี้กลับถูกบิดเบือนจากฝ่ายที่มีอำนาจในอดีต เพื่อใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตน ทำให้หลักการสำคัญของกฎหมายอาญาถูกแก้ไข บิดเบือน เช่น การแต่งตั้ง คตส. ซึ่งเป็นองค์กรที่ซ้ำซ้อนกับ ป.ป.ช. โดยเลือกคู่ขัดแย้งของผู้ถูกกล่าวหามาเป็นคณะทำงาน ทั้งนี้มีเจตนาเพื่อจัดการกับนายกทักษิณและคณะโดยเฉพาะ
จากนั้นมีการแก้ไขให้คดีอาญาบางประเภทไม่มีอายุความ และยังให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาลับหลังจำเลยได้ และล่าสุดคือ การแก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้นักโทษอื่นๆได้รับความเดือดร้อนไปด้วย โดยมีเจตนาเพียงเพื่อไม่ให้ #นายกทักษิณ กลับเข้ามาในประเทศ หรือหากจะกลับก็ต้องยอมรับโทษตามคำพิพากษา
.
ไทยเป็นสังคมนิติรัฐ (Legal State) หรือสังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง แต่กฎหมายดังกล่าวจะต้องถูกตราขึ้นโดยชอบและอยู่บนหลักนิติธรรม จึงจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมถึงฝ่ายที่ถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย
หาไม่แล้ว แม้จะมีข้ออ้างว่าเป็นไปตามกฏหมาย (Legality) ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายที่ถูกลงโทษ เพราะขาดความถูกต้องชอบธรรม (Legitimacy) เช่น กรณีของนายกทักษิณที่ผมเชื่อว่า ท่านจำยอมถูกลงโทษเพื่อจะได้กลับเข้ามาอยู่กับครอบครัว มากกว่าเต็มใจยอมรับการลงโทษโดยดุษฎี
.
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของหลายพรรคการเมือง ที่จะใช้การนิรโทษกรรมเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างความปรองดองให้กับสังคมไทย แต่เห็นเพิ่มเติมว่า การนิรโทษกรรมควรครอบคลุมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการทางกฎหมายที่มิได้อยู่บนหลักนิติธรรมด้วย
ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรเร่งดำเนินการตามนโยบาย ด้วยการแก้ไขกระบวนการทางกฎหมายที่ตราขึ้นโดยขัดต่อหลักนิติธรรมและหลักความยุติธรรมอาญา พร้อมทั้งคืนความถูกต้องชอบธรรมให้กับฝ่ายที่ถูกจัดการด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อไม่ให้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฏหมาย (Rule by Law) แต่ไม่ได้อยู่บนหลักนิติธรรม ( Rule of Law)
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย